Wednesday, May 6, 2009

ชนะศึกด้วยอหิงสา ..พลังยิ่งใหญ่&อ่อนโยนท่านคิดว่า อย่างไหนจะยั่งยืนกว่ากัน ระหว่าง ชนะศึก กับ ชนะใจ

คมคิด: บุคคลผู้โกรธช้าก็ดีกว่าคนมีกำลังมาก และบุคคลผู้ปกครองจิตใจของตนเองก็ดีกว่าผู้ที่ตีเมืองได้
ในปี 1930 คานธีต้องการต่อต้านการเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม ที่สงวนการค้าขายเกลือไว้สำหรับคนต่างชาติเท่านั้น เขาและกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงอย่างสันติแต่จริงจังด้วยการเดินเท้าเป็นระยะทาง 240 ไมล์ ไปยังทะเลอาหรับเพื่อทำเกลือที่นั่นพร้อมกับผู้ติดตาม 80 คน
การเดินทางครั้งนั้นเป็นที่สนใจของชาวโลกอย่างมาก เขาเดินทางผ่านหมู่บ้านนับพันแห่ง กลุ่มผู้ชุมนุมของเขาจึงมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถึงที่หมายทุกคนต่างทำเกลือและขายกันอย่างเปิดเผย นันเป็นการต่อสู้อย่างสันติวิธีซึ่งสะท้อนแนวทางอหิงสาของเขาที่ได้รับการชื่นชมอย่างล้นหลาม
อะไรเกิดขึ้นเมื่อ คานธียืนหยัดเพื่อความถูกต้องอย่างสันติท่ามกลางแรงกดดัน อะไรเกิดขึ้นเมื่อนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่า “การทำงานคลี่คลายเหตุการณ์ ตนไม่ถือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของชัยชนะ หรือการพ่ายแพ้ของใคร แต่หากเป็นชัยชนะของสังคมที่เข้าสู่ภาวะปกติ”
คำพูดดังกล่าวสะท้อนการรู้จักบังคับตน (Self regulation) การไม่ถือโกรธ (Forgiveness) และความรอบคอบรอบทิศ (Prudence) อันเป็นภาวะผู้นำฝ่าวิกฤติในมุมมองจิตวิทยาเชิงบวก ซึ่งส่งเสริมให้เกิดการตอบสนองที่สอดคล้องกับแนวทางอหิงสา ซึ่งหมายถึง การไม่เบียดเบียน ซึ่งการไม่เบียดเบียนนี้ ต้องตีความให้ลุ่มลึกมากกว่ากิริยาทางกาย กล่าวคือ หลักอหิงสาที่แท้จริง ที่ลุ่มลึกที่สุดคือ การเริ่มต้นจากจิตใจ ซึ่งไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น
หลักอหิงสาประกอบด้วยความรัก ความอดทน ความกล้าหาญ ความบริสุทธิ์และความซื่อสัตย์ดังโมเดลฯ ซึ่งคานธีได้กล่าวอธิบายหลักอหิงสาไว้อย่างน่าประทับใจในหนังสือการทดลองของมหาตมา คานธีว่า
"ความรักเป็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่โลกรู้จัก และ ขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่อ่อนโยนที่สุดที่มนุษย์รู้จักด้วย"
"หนทางแห่งความดีนั้นดำเนินไปอย่างเชื่องช้า บุคคลผู้ต้องการประกอบคุณงามความดีนั้นย่อมไม่เห็นแก่ตัวและไม่รีบร้อน เขารู้ดีว่าการทำให้ผู้อื่นซาบซึ้งในคุณความดีนั้นต้องอาศัยเวลา "
“ความกล้าหาญหมายถึงการปราศจากความกลัวในทุกลักษณะมันเป็นเสรีภาพจากความเกรงกลัวในลักษณะต่างๆเช่น ความกลัวตาย ความกลัวการประทุษร้าย การกลัวความจน หิวโหย ความตกต่ำ คำวิพากษ์วิจารณ์ และ ความโกรธแค้นของบุคคลอื่น ความกลัวผีสางเทวดา เป็นต้น”
"ไม่มีสิ่งใดจะน่าละอายไปกว่าการไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง"
กรุณาให้คะแนนแต่ละข้อตามจริง ครั้งล่าสุดเมื่อท่านต้องยืดหยัดเพื่อความถูกต้องท่ามกลางแรงกดดัน ท่านจะตอบสนองอย่างไร
1. ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์ ฉันควบคุมอารมณ์ตนเองได้และไม่ใช้คำพูดหยาบคาย
2. ฉันพยายามนึกถึงว่า “หากฉันเจอแบบเขาบ้าง ฉันจะรู้สึกอย่างไร” ทำให้เข้าอกเข้าใจคู่กรณีมากยิ่งขึ้น
3. ฉันค้นหาส่วนดีที่มีอยู่ในตัวของคู่กรณี ทำให้ฉันไม่ด่วนสรุปและคิดได้รอบคอบยิ่งขึ้น
4. ฉันกล้าตัดสินใจทำในสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่าจะขัดกับความต้องการของผู้ใหญ่หรือผู้มีอิทธิพลก็ตาม
5. เมื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่นและพร้อมพิจารณาเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขงานและตนเอง
6. แม้อีกฝ่ายจะมุ่งร้ายฉัน ฉันก็ยังปฏิบัติต่อเขาด้วยใจปรารถนาดี
7. ฉันกล้ายอมรับ และสารภาพเมื่อทำผิด
8. แม้มีเรื่องกัน ฉันพร้อมให้อภัย ให้โอกาส ด้วยใจเป็นธรรม
9. ก่อนตัดสินใจทำอะไร ฉันพิจารณาถึงผลกระทบที่จะเกิดกับส่วนรวมเป็นสำคัญ
10. ฉันเชื่อว่าสัจจะจะทำให้ทุกฝ่ายเป็นไท
(แบบวัด อหิงสา (Nonviolence Test) (กรุณาศึกษาเพิ่มเติมที่ www.HowAreYou.co.th)
แปลผล:
ข้อเสนอแนะ: ข้อใดได้คะแนนน้อย ท่านอยากเห็นข้อนั้นเป็นอย่างไร ท่านจะเริ่มทำอย่างไร
“สามัญสำนึกที่ดีกระทำให้คนโกรธช้า และที่มองข้ามการทรยศไปเสียก็เป็นศักดิ์ศรีแก่เขา”
แล้วกรณีของท่าน มีสิ่งดีอะไรอยู่บ้าง ?
----------------------
ไอเดียดีๆ เชิญทางนี้
อย่างไหนจะช่วยกระตุ้นค.คิดสร้างสรรค์ได้มากกว่ากัน ระหว่าง พูดลบวิจารณ์ใส่กัน กับ พูดบวกหนุนต่อยอดกันและกัน
คมคิด: ลิ้นของปราชญ์แจกจ่ายความรู้ และนำการรักษามาให้
การเปิดใจฟัง (Open-mindedness) เป็นปัจจัยเอื้อที่ช่วยให้เกิดการเสนอไอเดียที่สร้างสรรค์ และคิดต่อยอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยกระตุ้นให้สมองซีกขวาทำงานอันเป็นที่มาของความหวัง อาจจะทำให้เกิดบรรยากาศนี้ขึ้นในองค์กรของท่านได้ด้วยการระดมสมองมุ่งทางออก
ซึ่งทักษะระดมสมองมุ่งทางออก (Solution-focused brainstorming) เป็นวิธีการกระตุ้นให้กลุ่มช่วยกันคิดหาไอเดียเพื่อปรับปรุงพัฒนางาน เพื่อแก้ปัญหาโดยใช้สมองซีกขวา ประกอบด้วย 4 ขึ้นตอนย่อว่า ABCD ดังโมเดลฯ ซึ่งเริ่มต้นจากการตั้งคำถามเชิงบวกต่างๆ ได้แก่
1. ทำอย่างไรให้ผลงานที่ออกมา ปริมาณสูงขึ้น คุณภาพดี ลดค่าใช้จ่ายลง ลดการสูญเสียลง
2. ทำอย่างไรให้ผลงานที่ออกมา สะอาด สะดวก เป็นระเบียบ ทันเวลา สนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
3. ความสำเร็จในปีที่ผ่านมา เกิดจากอะไรบ้าง จะนำมาสานต่อปีนี้อย่างไร
4. จุดแข็งของเราคืออะไร จะทำให้แตกต่าง เป็นที่รู้จักและตอบโจทย์ลูกค้ายิ่งขึ้นได้อย่างไร
5. มีจุดอ่อนอะไรบ้างที่ควรปรับปรุง&ป้องกัน และจะทำอย่างไร
6. ฉันจะสนุกและมีความสุขในการทำงานมากขึ้น หาก...
7. เพื่อฝ่าวิกฤติ...ทะลุเป้าหมายในปีนี้ นอกจากสิ่งทำเพิ่มดังกล่าวแล้ว ท่านคิดว่า อะไรที่ควรทำเพิ่มอีก จะฝากให้ใครทำดี และต้องการให้ฝ่ายอื่นสนับสนุนอย่างไรบ้าง
8. สรุปว่า ปีนี้ท่านจะทำอะไรที่ต่างไปจากเดิมบ้าง
“ปัญหาเป็นที่เริ่มต้นของปัญญา” ปัญหาอะไรที่ยังแก้ไม่ตก คนอื่นๆที่เขาเคยแก้ปัญหานี้ได้ เขาทำกันอย่างไร?

No comments:

Post a Comment